วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรถึงได้ประโยชน์จากปลามากที่สุด


ประโยชน์จากปลาอาจขึ้นอยู่กับกรรมวิธี

เราสามารถได้รับประโยชน์จากโอเมก้า 3 ในปลาได้สุงสุด เมื่อเรารับประทานปลาที่ปรุงด้วยการอบ การนึ่ง แทนที่จะเป็นการทอด ตากแห้ง หรือ จากน้ำปลา นอกจากนั้นซอสถั่วเหลือง และเต้าหู้ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายการอบหรือนึ่งปลากับซอสถั่วเหลืองนั้นมีประโยชน์กว่า การนำปลาไปทอด ไปหมักเกลือ หรือตากแห้ง ซึ่งจริง ๆ แล้ววิธีการเช่นนี้สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองได้

         นักวิจัยได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ แหล่งอาหาร ชนิด ปริมาณ และความถี่ ในการควบคุมการบริโภคโอเมก้า 3 ในกลุ่มตัวอย่าง ชายจำนวน 82,243 คน และหญิงจำนวน 103,884 คน ในลอสแอลเจลลิส และฮาวาย กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ประกอบไปด้วย กลุ่มคนผิวขาว ผิวดำ สเปน ญี่ปุ่น และชนพื้นเมืองฮาวาย อายุระหว่าง 45-75 ปี ซึ่งไม่เคยมีประวัติการป่วยด้วยโรคหัวใจ  

      จากการศึกษาเป็นเวลา 11.9 ปี ในกลุ่มตัวอย่าง มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจทั้งสิ้น 4,516 คน  ผู้ชายมีรับประทานโอเมก้า 3 มากที่สุด (3.3 กรัมต่อวัน) มีอัตราเสี่ยงต่อหัวใจวายลดลง 23% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานโอเมก้า 3 เพียง 0.8 กรัมต่อวัน    “เห็นได้ชัดว่าในผู้ชาย การรับประทานโอเมก้า 3 ในปริมาณมาก สามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ได้แต่ความเกี่ยวข้องดังกล่าวไม่พบในผู้หญิง” นักวิจัยกล่าว   อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้ก็แสดงผลที่ชัดเจนว่า การมีสุขภาพของหัวใจที่แข็งแรง มักจะเกิดกับผู้หญิงที่รับประทานซอสถั่วเหลืองและเต้าหู้   “เราคาดว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว โอเมก้า 3 ในซอสถั่วเหลือง และเต้าหู้ ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารอื่น ๆ อาทิ ไฟโตสโตรเจน อาจจะป้องกันหัวใจได้ดีกว่าการรับประทานโอเมก้า 3 เพียงอย่างเดียว” นักวิจัยกล่าว
 

ขอขอบคุณ  http://healthy.in.th/categories/healthful/news/1858

การทำปลาให้อร่อย

ภาพประกอบ
น้ำนมสามารถทำให้ปลามีสีน้ำตาล     


    นมนั้นมีคุณค่ามากมายนอกจากจะใช้ดื่มกินแล้ว สามารถนำมาดัดแปลงเป็นอาหารที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นไปได้อีก อย่างเช่น การทอดปลาจะให้มีสีน้ำตาลสวย เราทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เรานำปลาไปล้างทำความสะอาดและก่อนทอดปลาให้จุ่มปลาลงในนมที่เตรียมไว้ จึงนำปลาไปชุบแป้งทอด จะทำให้เนื้อปลามีสีน้ำตาลเนื้อนุ่ม น่ารับประทานทีเดียว

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับปลา

         * ปลาสดๆ ต้องดูให้เป็น ตาจะต้องสดใส เหงือกแดงสด ไม่มีเมือก ถ้าเป็นปลาชนิดมีเมือก เมือกต้องใส เนื้อแน่น กดไม่ยุบ ท้องไม่บวมหรือแตกและเกล็ดสดใส


ปลาทอด         * ทอดปลาไม่ติดกระทะ ต้องคลุกเคล้าปลากับเกลือเล็กน้อยค่ะ กระทะต้องล้างสะอาด ใช้น้ำมันใหม่ น้ำมันต้องร้อนจัดจึงค่อยใส่ปลาลงทอด รอจนเหลืองแล้วค่อยกลับข้าง ถ้าน้ำมันกระเด็นให้ใช้ฝาปิด แต่หมั่นเปิดบ่อยๆและยกฝาออกเร็วๆนะคะ ไม่อย่างนั้นปลาจะไม่กรอบได้

         * ทำไงดี ปลาช่อนถึงไม่คาว   เพียงผสมน้ำสายชูกับเกลือป่นในน้ำสะอาด คนให้ละลายเข้ากัน นำปลาช่อนลงล้าง พยายามขัดเมือกปลาให้หมดจด แล้วล้างอีกครั้งด้วยน้ำสะอาด เท่านี้ปลาช่อนก็กิน อร่อย หมดกลิ่นคาวที่ทำให้เสียอารมณ์แล้วล่ะค่ะ


"เคล็ดลับเเค่นี้ก็สามารถทำให้เมนูปลาของคนรักสุขภาพ อร่อยได้แล้วค่ะ"

เมนูปลา เพื่อสุขภาพ

ปลาช่อนทอดกรอบ         

ปลาช่อนทอดกรอบพุงแตก

         ส่วนผสม
         ปลาช่อน 1 ตัว ปลาหมึกบั้งหั่นชิ้นพอดีคำ 1 ตัว กุ้งกุลาดำ 3-4 ตัว เนื้อปลากะพงหั่นชิ้น3-4 ชิ้น หอยแมงภู่แกะ 4 ตัว หอมใหญ่หั่นบาง 1/2 หัว มะเขือเทศหั่นเสี้ยว 1/2 ลูก ขึ้นฉ่ายหั่นท่อน 2 ต้น พริกขี้หนูโขลก 2 ช้อนชา แป้งมัน 1/4 ถ้วย น้ำปลา น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ 

         วิธีทำ

          1. ขอดเกล็ดปลาแล้วล้างให้สะอาด ผ่ากลางแบะตัวปลา เลาะเอาก้างและไส้ออก ล้างให้สะอาดอีกครั้งและซับน้ำให้แห้ง
          2. คลุกด้านในของปลาด้วยแป้งมันให้ทั่ว ใส่น้ำมันลงในกระทะ รอจนร้อนจึงใส่ปลาทอดให้เหลือง ปลาจะกรอบนอกนุ่มใน แล้วจึงจัดใส่จาน 
          3. ใส่น้ำลงในหม้อ ใส่เกลือเล็กน้อย ตั้งไฟพอเดือด ลวกปลาหมึก กุ้ง เนื้อปลากะพง หอยแมงภู่ จนสุกแล้วตักขึ้น
          4. ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว ซอสพริก และพริกขี้หนู เข้าด้วยกัน เคล้ารวมกับกุ้ง หอย ปลา ปลาหมึก หอมใหญ่ ขึ้นฉ่าย และมะเขือเทศ จนเข้ากัน แล้วจึงนำราดบนตัวปลาค่ะ



ป.ปลาตากลม มีดีกว่าเเค่คำว่า "อร่อย"

      
ไปไหนมา กินข้าว กินปลาแล้วหรือยัง ?”
คำทักทายเเบบไทยที่นิยมพูดกัน  สามารถบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นอาหารหลักของคนไทยมาช้านาน
  เมนูปลา เพื่อสุขภาพ ที่คิดว่าใครๆ ก็น่าจะชอบ  และดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบทานปลามาก  เพราะจากการที่ได้ดูโฆษณา  อ่านบทความและจากคำพูดของคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหลายๆ คน ก็พรรณาเรื่องคุณค่าของปลาให้ดิฉันฟังต่างๆ นาๆ จนทำให้ดิฉันมีความชื่นชอบอาหารประเภทปลามาก  และนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดิฉันทำเรื่องของอาหารที่ทำจากปลาต่างๆ นี้ 

      ก่อนอื่นเราก็จะเป็นมาทราบถึงประโยชน์ของปลาก่อนนะค่ะ  ว่าทำไมถึงทำให้ใครหลายๆ คนชอบทานปลา  "ผู้คนในอินเดียและจีนนั้นยกย่องให้เนื้อปลาเป็นยอดของอาหารบำรุงสมอง เพราะในเนื้อปลามีกรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 3 (มีมากในปลาทะเล) ซึ่งช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทค่ะ เป็นโปรตีนชั้นดี ไขมันต่ำ และย่อยง่าย"  และอีกหนึ่งบทความที่ทำให้ต้องหันมาทานปลากันดีกว่าค่ะ  "เบาหวานเป็นโรคที่มีอันตรายสูงสุดยิ่งกว่าโรคเอดส์ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละ 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์เสียชีวิตแค่เพียง 3 ล้านคน/ปีเบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุงที่ออกแรงออกกำลังกายน้อยเกินไป ปัจจุบันพบในเด็กด้วย การรับประทานอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ตลอดจนไม่ออกกำลังกาย เป็นปัจจัยสำคัญทั้งสิ้นที่นำไปสู่โรคเบาหวาน วิธีลดปัญหาโรคอ้วนคือต้องส่งเสริมให้คนไทยบริโภคปลามากขึ้น เพราะเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี ราคาถูก และอาหารที่มีโอเมก้า - 3 สูง สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานได้ทั้งชนิดที่ 1 และ 2"
       ข้อมูลจาก โรงพยาบาลรามาธิบดี  นพ.ฆนัท ครุฑกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนาวิทยาคลินิก ศูนย์หัวใจหลอดเลือดและเมทาบอลิซึม โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายถึงสารบำรุงสมองในเนื้อปลาว่า คือ โอเมก้า 3 ที่ช่วยพัฒนาเซลล์สมอง ลดไขมันในเลือด และช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ เพราะฉะนั้น ควรรับประทานปลาอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ หรือต้องได้รับในปริมาณ 500 - 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน  
           โอเมก้า 3 คือ กรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายขาดไม่ได้ มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งทางด้านหัวใจและสมองเป็นสารอาหารที่พบทั้งในปลาทะเลและปลาน้ำจืด ขึ้นอยู่กับชนิดและฤดูกาล หากเป็นปลาที่มีไขมันมากจะมีโอเมก้า 3 มาก หรือถ้าอยู่ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ปลาจำศีล ปลาจะมีขนาดเล็ก เนื้อน้อย  และมีไขมันต่ำ ส่วน ปลาในประเทศไทยที่มีโอเมก้า 3 มาก คือ ปลาสวายและปลาช่อน

          สำหรับการปรุงอาหารของคนไทยนั้น คุณหมอบอกว่า คนไทยนิยมบริโภคปลาด้วยวิธีการทอดสูงเป็นอันดับหนึ่ง ถึงร้อยละ 26.8 และการนึ่งหรืออบ ต้ม ปิ้ง หรือย่าง และผัดตามลำดับ ซึ่งอยากจะแนะนำว่า การทอดทำให้สูญเสียโอเมก้า 3 ในเนื้อปลามากที่สุด  
อีกทั้งยังได้น้ำมันที่เราใช้ทอดปลาซึมซับเข้ามาอีก เมื่อรับประทานไขมันเพิ่มมากขึ้นจะเป็นผลให้ไขมันไปสะสมในร่างกายและเกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้นเราควรปรับเปลี่ยนการปรุงมาเป็นนึ่งหรือต้มจะดีกว่า ส่วนปลาที่นิยมบริโภคกันมากที่สุด ได้แก่ ปลาทู ปลานิล ปลาดุก ปลาสลิด และปลาช่อน ตามลำดับ

          อย่างไรก็ตามคุณหมอบอกว่าพฤติกรรมการบริโภคปลาของคนไทย จากการสำรวจผู้ป่วยและญาติที่เข้ามาใช้บริการรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลรามาธิบดี อายุระหว่าง 18 - 82 ปี จำนวน 260 คน พบว่ามีการบริโภคอาหารประเภทปลาในปริมาณน้อยเพียง 1 วันต่อสัปดาห์ จึงได้รับโอเมก้า 3 เฉลี่ยต่อวันเพียง 335.35 มิลลิกรัม ถือว่ายังน้อยอยู่ จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยรับประทานปลาให้มากกว่าเดิมเพื่อชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือโรคความจำเสื่อมที่เกิดกับเราเมื่อมีอายุมากขึ้น
      เนื้อปลาเป็นอาหารที่อร่อยไม่แพ้ เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ แถมมีประโยชน์มากมาย หากรู้จักนำมาปรุงรสต่าง ๆ ให้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นต้มยำปลาช่อนรสแซบ ปลาสวายราดพริก ฯลฯ   เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองควร ใส่ใจหันมาบริโภคเนื้อปลากันให้มากขึ้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 มื้อหรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี

10 อันดับโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนไทย มีดังนี้

**โรคหัวใจและหลอดเลือด**
**โรคของต่อมไร้ท่อ *(โรคกลุ่มเบาหวาน ไทรอยด์ ต่อมหมวกไต)**
**โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น**
**โรคระบบทางเดินอาหาร**
**โรคระบบทางเดินหายใจ**
**โรคภูมิแพ้**
**โรคระบบประสาทจิตเวช**
**โรคระบบทางเดินปัสสาวะ**
**โรคของปาก หู คอ จมูก**
**โรคผิวหนัง**
**ปรับพฤติกรรมการกิน ป้องกันโรค**
  ข้อมูลจาก  http://www.thaislimclub.com/content_452_15087_TH.html3




ขอขอบคุณ  http://www.thaihealth.or.th